• 25670329pm--กายป่วย แต่ใจไม่ทุกข์
    Jun 17 2024

    29 มี.ค. 67 - กายป่วย แต่ใจไม่ทุกข์ : แต่พอใจนี้ยอมรับได้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะไม่กลัวแล้ว จะตายก็ตาย ใจก็สงบ กายก็ค่อยๆ ดีขึ้น ยิ่งถ้าเกิดว่ารู้จักเจริญสตินะ สตินี้มันช่วยทำให้ความตื่นตระหนกมันบรรเทาเบาบางลง แล้วยิ่งถ้ารู้จักเอามาใช้ในการมองพิจารณาความเจ็บความปวดยิ่งมีประโยชน์นะ เวลามันหงุดหงิด โมโห เพราะความเจ็บความปวด เห็นมัน เห็นมันตื่นตระหนก

    อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนพูดอยู่บ่อยๆ เห็นมันกลัว เห็นมันตื่นตระหนก เห็นมันผลักไส อันนี้เรียกว่า ‘เห็นจิต’ หรือว่าเอามาดูเวทนา เห็นมันปวด เห็นมันปวด พอเห็นมันปวดนี้ มันก็ไม่เกิด ‘ผู้ปวด’ ขึ้นมาแล้ว พอเห็นมันตื่นตระหนก ความเป็น ‘ผู้ตื่นตระหนก’ ก็จะหายไป จิตก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ เห็นมันปวด การผลักไสความปวด หรือ การเข้าไปเป็นผู้ปวด ก็จะเบาบางลง พอไม่เป็นผู้ปวดแล้ว ไอ้ความทุกข์ใจมันก็น้อยลง ฉะนั้นถ้าเราเอาสติมาใช้นะกับใจ กับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้ใจนี้เป็นปกติได้ แล้วมันทำให้ยอมรับ ให้ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจ แม้กระทั่งเวลาใจตื่นตระหนกก็ยอมรับได้ว่า “เออ มันเป็นเช่นนั้นเอง” บางทีเราไม่เพียงแต่ต้องรู้จักยอมรับความเจ็บความปวดเท่านั้น แต่ต้องยอมรับใจที่มันยังไม่สามารถจะยอมรับความเจ็บปวดได้ บางทีใจมันตื่นตระหนก นักปฏิบัติหลายคนก็ผิดหวัง ทำไมใจเราเป็นอย่างนี้ เราปฏิบัติมาตั้งนาน ทำไมใจเรายังตื่นตระหนก ทำไมใจเรายังว้าวุ่นฟุ้งซ่าน ทำไมใจของเรายังกระวนกระวาย ถ้ายอมรับอาการของใจไม่ได้ ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ แต่ถ้ายอมรับได้ว่า เออ ใจมันเป็นอย่างนี้ คุมไม่ได้ ความทุกข์ก็น้อยลง ความผิดหวังในตัวเองหรือในการปฏิบัติก็จะน้อยลง แล้วมันก็ทำให้ทุกข์น้อยลงไปด้วย ฉะนั้นการรู้จักยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มแต่ความเจ็บ ความปวด หรือยอมรับอาการตื่นตระหนกตกใจ ยอมรับอาการที่ใจมันไม่เป็นปกติ อันนี้จะช่วยทำให้ใจนี้กลับมาเป็นปกติ หรืออยู่กับความเจ็บความปวดได้ พูดง่ายๆ ก็คือว่า กายป่วย แต่ว่าใจไม่ทุกข์
    Show more Show less
    28 mins
  • 25670328pm--สัจธรรมต้องคู่กับจริยธรรม
    Jun 16 2024

    28 มี.ค. 67 - สัจธรรมต้องคู่กับจริยธรรม : ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะเข้าถึงสัจธรรมความจริง ก็อย่าทิ้งธรรมะในระดับจริยธรรม ต้องฝึกด้วย จะเป็นบันได เป็นพื้นฐานให้เข้าถึงความจริงขั้นสูง และเช่นเดียวกัน เวลาเราทำความดีหรือปฏิบัติธรรมในระดับจริยธรรม ก็จำเป็นที่เราจะต้องมีความเข้าใจเรื่องสัจธรรมความจริงด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะท้อในการทำความดี ทำความดีไม่ตลอด

    เพราะฉะนั้น จริยธรรมกับสัจธรรม จึงเป็นของคู่กัน สัจธรรมเป็นตัวทำให้การปฏิบัติระดับจริยธรรมหรือการทำความดีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และนำความสุขสวัสดีมาให้กับเราเป็นลำดับ ขณะเดียวกัน เมื่อจะปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงสัจธรรมขั้นสูงแล้ว การปฏิบัติระดับจริยธรรมก็อย่าไปมอง อย่าไปดูแคลนว่าเป็นเรื่องต่ำ เพราะอันที่จริงก็เป็นพื้นฐานที่จะช่วยรองรับให้จิตใจของเราพัฒนา จนกระทั่งเข้าถึงภาวะที่ไม่มีตัวไม่มีตน หรือไม่มีความยึดถือในตัวตนได้ เรียกว่าเข้าสู่ภาวะที่เป็นปรมัตถ์ หรือเข้าใจเรื่องปรมัตถ์ได้อย่างแท้จริงซึ่งก็ทำให้พัฒนาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
    Show more Show less
    27 mins
  • 25670327pm--ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ
    Jun 15 2024

    27 มี.ค. 67 - ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ : การที่คนเรารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไปคาดหวังกับสิ่งที่ควรอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นไปยังที่ควรจะเป็น แต่ไม่สามารถที่จะยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ตรงนี้มันเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ แล้วสุดท้ายมันก็ไปคาดหวังกับตัวเองด้วย ไม่ได้คาดหวังคนอื่นอย่างเดียว

    คนที่มาเจริญสติ ปฏิบัติที่นี่หลายคน เขาก็รู้ ว่าความสงบเป็นสิ่งที่ดี แต่พอมาปฏิบัติก็คาดหวังว่าจิตจะต้องสงบ ไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน แต่พอมีความคิดขึ้นมาก็ยอมรับไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจตัวเอง หรือบางครั้งมันมีจิตคิดในทางลบต่อผู้มีพระคุณ หรือว่ามีอารมณ์บางอย่างซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้น เช่น ความโลภ ความโกรธ ราคะ พอมันเกิดขึ้นมาก็ทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ความคิดแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่สามารถยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นได้ แค่มีความฟุ้ง ความคิดมันผุดขึ้นมาเยอะแยะ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย เราอุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งหลายวันแล้ว ทำไมยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ความจริงกับความคาดหวังมันสวนทางกัน ในเมื่อยอมรับความจริงหรือความเป็นจริงไม่ได้ มันก็เลยเกิดความทุกข์ ทั้งที่ถ้าเกิดยอมรับความเป็นจริงได้ มันเกิดขึ้นก็แค่ยอมรับแล้วก็แค่รู้ แค่รู้เฉย ๆ การเจริญสติท่านก็สอนให้แค่รู้เฉย ๆ หลวงพ่อคำเขียนเคยบอกว่า คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง บางคนพอมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง กับพ่อแม่ กับครูบาอาจารย์ เป็นทุกข์มากเลย อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะความเป็นจริงบางครั้งมันก็ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ เพราะถ้าไม่ยอมรับ เราก็จะทุกข์มาก
    Show more Show less
    28 mins
  • 25670326pm--ปล่อยเมื่อไหร่ ทุกข์หลุดเมื่อนั้น
    Jun 14 2024

    26 มี.ค. 67 - ปล่อยเมื่อไหร่ ทุกข์หลุดเมื่อนั้น : ที่จริงแล้ว เพียงแค่ลิงคลายมือออก มันก็เป็นอิสระแล้ว เพราะพอคลายมือออกมันก็จะดึงมือออกมาจากช่องเล็ก ๆ นั้นได้ แต่ลิงไม่ยอมคลาย มันกำแน่น เพราะอะไร เพราะมันหวงถั่วในมือของมัน จึงถูกจับได้ในที่สุดจะว่าไปแล้ว ชะตากรรมของลิงเหล่านี้ไม่ได้ต่างจากคนเราเลย จริงอยู่คนเราอาจไม่ได้กำอะไรที่มือ แต่ใจนั้นกำไว้แน่น พอกำไว้แน่น ความทุกข์จึงตามมา ที่จริงเพียงแค่คลายหรือปล่อย เราก็เป็นอิสระจากทุกข์ได้ แต่คนเราส่วนใหญ่เหมือนกับลิง คือ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย กำไว้อย่างนั้น ไม่ได้กำที่มือ แต่กำที่ใจ เรียกว่ายึดติด

    ความทุกข์ของคนเราเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เกิดจากความยึดติด เป็นเพราะใจเรากำไว้ไม่ยอมปล่อย ทุกข์กายนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ สารพัด เช่น อากาศร้อน อากาศหนาว เชื้อโรค อาหารเป็นพิษ มลภาวะ หรือภัยธรรมชาติ หรือมีคนมาทำร้าย แต่ถ้าเป็นทุกข์ใจแล้ว สาเหตุมีอยู่ประการเดียว ถ้าสาวไปให้ถึงที่สุด ก็คือความยึดติด หลวงพ่อชา สุภทฺโท สรุปไว้ดีมาก ท่านว่า “ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยืดเพราะอยาก ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหลุด ทุกข์หยุดเพราะปล่อย” คนเราก็เหมือนกับลิง ถ้าลิงเพียงแค่คลายมือ ปล่อยถั่ว มันก็เป็นอิสระได้ แต่เพราะคนเราไม่ยอมปล่อย ทั้งที่สิ่งที่ยึดเอาไว้นั้นบางครั้งเป็นอดีตไปแล้ว
    Show more Show less
    25 mins
  • 25670325pm--ความร้อนสอนธรรม
    Jun 13 2024

    25 มี.ค. 67 - ความร้อนสอนธรรม : ความรู้สึกว่าร้อนเป็นเวทนา ในยามนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ก็คือทุกขเวทนา แต่ถ้าเกิดใจบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” อันนี้มันเจือไปด้วยความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ตรงนี้เป็นสังขารแล้ว เวทนาอย่างเดียวเราจะมองว่าเป็นสัญญาก็ได้ เวทนาก็ได้ สังขารก็ได้

    มันสำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่าเวลาเรารู้สึกร้อน แล้วมันไม่ใช่แค่รู้สึกร้อน แต่ใจมันบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” ตรงนี้มันแปลว่าไม่ใช่กายที่ร้อนอย่างเดียว ใจก็ร้อน ไม่ใช่กายที่ทุกข์อย่างเดียว ใจก็ทุกข์ด้วย แล้วถ้าเราปล่อยให้ใจทุกข์ มันก็เหมือนกับว่าทุกข์ 2 ชั้น หรือว่าร้อน 2 ต่อ ร้อนกายแล้วก็ร้อนใจ ถ้าร้อนแล้วมันทำให้ทุกข์กาย แล้วก็ทุกข์ใจตามไปด้วย ในเมื่อจะร้อนทั้งที ก็ให้มันร้อนอย่างเดียวคือร้อนกายแต่ว่าใจอย่าร้อน ในเมื่อมันทุกข์ ก็ให้ทุกข์แค่กายแต่ว่าใจอย่าทุกข์ แต่คนส่วนใหญ่ปล่อยให้ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ แทนที่จะรู้สึกว่าร้อนเท่านั้น ใจมันก็บ่นว่าร้อน ร้อน มีความหงุดหงิด มีความไม่พอใจ เราเห็นไหม เห็นใจที่มันบ่นไหม เห็นใจที่มันหงุดหงิดไหม เห็นใจที่มันโวยวายไหม ถ้าไม่เห็นนี้ขาดทุน เพราะถ้าไม่เห็น มันก็ทุกข์ 2 ต่อ ทุกข์กายด้วย ทุกข์ใจด้วย ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ และถ้าไม่เห็น ไม่เห็นว่าใจมันบ่น ใจมันโวยวายตีโพยตีพาย นอกจากจะแยกไม่ออกระหว่างสัญญา เวทนา และสังขาร ที่สำคัญก็คือ กลายเป็นทุกข์ฟรี ๆ
    Show more Show less
    26 mins
  • 25670323pm--ของดีอยู่ข้างหน้า อย่ามองข้าม
    Jun 12 2024

    23 มี.ค. 67 - ของดีอยู่ข้างหน้า อย่ามองข้าม : ที่จริงไม่ใช่เฉพาะสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตเราก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นตัวขัดขวางการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างเช่นปฏิบัติธรรม เมื่อวานนี้เราปฏิบัติได้ดีมากใจสงบ มันรู้สึกตัวมากเลย แล้วเราก็เพลินหรือว่าเกิดความติดใจในภาวะอารมณ์แบบนั้น อยากให้มันเกิดขึ้นอีกในวันนี้ แต่พอทำวันนี้แล้วมันไม่ได้อย่างที่ เหมือนเมื่อวาน ก็เกิดความหงุดหงิดเกิดความไม่สบายใจ เกิดความไม่พอใจ

    บางคนทุกข์มากเลย ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร แต่เป็นเพราะว่าไปติดใจกับอารมณ์การปฏิบัติของเมื่อวาน แล้วก็อยากให้มันเกิดขึ้นในวันนี้ ความอยากให้มันเกิดขึ้นวันนี้อย่างที่เป็นเมื่อวาน มันก็แสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันแล้ว ถ้ายังอยู่กับปัจจุบันมันก็ต้องวางให้หมด เมื่อวานนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีก็เป็นเรื่องของเมื่อวาน วันนี้เราจะอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วเราก็จะพบว่าถ้าเราวางเหตุการณ์ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้
    Show more Show less
    27 mins
  • 25670322pm-จิตที่ฝึกไว้ดี มีความสุขเป็นรางวัล
    Jun 11 2024

    22 มี.ค. 67 - จิตที่ฝึกไว้ดี มีความสุขเป็นรางวัล : ปกติเราชอบมองออกไปข้างนอก แล้วเราส่งจิตออกนอก ซึ่งก็ทำให้เราเผลอปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ เล่นงานจิตใจ เผาลนจิตใจด้วยความโกรธ กรีดแทงใจด้วยความเกลียด หรือหนักอกหนักใจเพราะแบกโน่นแบกนี่ เพราะเราไม่รู้จักมีสติเห็นใจของตัว เพราะมัวแต่ส่งออกนอก เราต้องหันกลับมาดูใจของเราอยู่เสมอซึ่งจะทำได้นี้มันก็ต้องทำเป็นนิสัย แล้วนิสัยจะเกิดขึ้นได้ต้องทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ

    และไม่ใช่แค่ปฏิบัติที่นี่ กลับไปบ้านเราก็ปฏิบัติได้ เช่น เวลาเก็บที่นอน อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า แทนที่จะปล่อยใจลอยคิดโน่นคิดนี่ ก็กลับมารู้สึกตัว หรือว่าฝึกใจให้เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้น ขณะที่ทำนั่นทำนี่ รู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็วาง หมายถึงรู้ความคิดว่ามันเผลอคิดไป รู้แล้วก็วาง วาง ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ แม้กระทั่งเวลากินข้าว เราก็มีสติกับการกินข้าว ไม่ใช่ปากเคี้ยวแต่ใจไม่รู้ คิดไปโน่นคิดไปนี่ แต่ถึงคิดไปก็พาใจกลับมาบ่อยๆ อันนี้จะเป็นการสร้างนิสัยใหม่ที่จะทำให้เรานี้มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ แล้วก็จะช่วยให้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันเล่นงานจิตใจ สร้างความทุกข์ให้กับจิตใจเราได้น้อยลง แล้วตรงนี้ที่มันจะช่วยให้เรารู้จักสลัดความคิด สลัดอารมณ์ หรือปล่อยวางอารมณ์ ปล่อยวางความทุกข์ออกไปจากใจได้เร็ว ฉะนั้นถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็เรียกว่าเรามีจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว และอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส “จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้” หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่พาเอาทุกข์มาทับถมใจของเรา ฝึกจิตเอาไว้ให้ดีก็จะมีความสุขหรือความปกติเป็นรางวัล
    Show more Show less
    28 mins
  • 25670321pm--มองไม่เป็น ก็เป็นทุกข์
    Jun 9 2024

    21 มี.ค. 67 - มองไม่เป็น ก็เป็นทุกข์

    Show more Show less
    27 mins